พ่อแม่หลายคนเวลาเห็นลูกมีน้ำมูกก็จะรีบหายาลดน้ำมูก (antihistamine) ให้ลูกกินทันที แต่จริงๆ แล้วยาลดน้ำมูกเด็กต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับโรคของเด็กด้วย เพราะสาเหตุของการมีน้ำมูกของเด็กนั้นไม่ได้มีสาเหตุเดียว และบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาลดน้ำมูก

พูดถึงยาลดน้ำมูกที่ใช้ในปัจจุบันสำหรับเด็กที่นิยม เช่นยาน้ำ Cetirizine, Loratadine และ CPM นั้นต่างก็เป็นยาในกลุ่ม antihistamine คือยาจะไปกันไม่ให้สาร histamine(สารที่ทำให้มีน้ำมูก) ออกฤทธิ์ได้ ทำให้ลดน้ำมูก/แก้แพ้ได้ แต่เด็กๆ นั้นมีโอกาสมีน้ำมูกจากสาเหตุอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ด้วย ซึ่งทำให้ยานี้อาจประสิทธิภาพน้อยลง และไม่มีการแนะนำให้ใช้ในปัจจุบัน


1. หวัดจากไวรัส (common cold)

  • น้ำมูกเกิดจาก การอักเสบของเยื่อบุจมูก ไม่เกี่ยวข้องกับ histamine
  • งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า antihistamine ไม่ช่วยให้น้ำมูกลดลง หรือหายเร็วขึ้น
  • การใช้ในเด็กเล็ก (<6 ปี) ยังเสี่ยง ง่วงซึม ใจสั่น หรือผลข้างเคียงอื่นๆ
  • ✅ วิธีที่ได้ผล: ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ ดูดน้ำมูก พักผ่อน และดื่มน้ำเพียงพอ

แม้ guideline ปัจจุบันไม่แนะนำ แต่ในบางกรณี แพทย์อาจให้ยาเพื่อบรรเทาอาการชั่วคราว(เนื่องจากสมัยก่อนใช้กันมาตลอด) ผู้ปกครองควรทราบข้อควรระวัง และสังเกตอาการเด็กอย่างใกล้ชิด


2. ภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis)

  • Antihistamine ใช้ได้ เพราะอาการเกิดจาก histamine
  • อายุและชนิดยาแนะนำ
ยา อายุเด็กที่ใช้ได้ หมายเหตุ
Cetirizine (สูตรเด็กเล็ก) ≥6 เดือน
Loratadine / ยา antihistamine อื่น ๆ ≥2 ปี
Chlorpheniramine ≥6 ปี ง่วงซึมมาก ระวังการใช้ในเด็กเล็ก

3. ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง

ปรึกษาแพทย์/เภสัชกรก่อนใช้ยา เพื่อที่จะใช้ขนาดยาได้เหมาะสมตามน้ำหนัก/อายุเด็ก

  • ใช้ยาเฉพาะอาการภูมิแพ้ ไม่ใช้ในหวัดธรรมดา
  • สังเกตอาการหลังใช้ยา เช่น ง่วง ซึม ใจสั่น หรือหายใจลำบาก
  • เด็ก <2 ปี ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ antihistamine

4. สรุปง่ายๆ

  • หวัดธรรมดา → ไม่ต้องใช้ antihistamine
  • ภูมิแพ้ → ใช้ antihistamine ตามชนิดและอายุเด็ก
  • โรคหวัดเน้นการดูแลประคับประคอง เช่น ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ ดูดน้ำมูก พักผ่อน และดื่มน้ำให้เพียงพอ

บทความนี้ได้รับการตรวจสอบโดยเภสัชกร

หมายเหตุ: ข้อมูลนี้อ้างอิงจากคำแนะนำทั่วไปของยา ไม่สามารถทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ส่วนบุคคลได้ และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ยาทุกครั้ง


อ้างอิง