ขมิ้นหรือขมิ้นชัน เป็นเครื่องเทศสีเหลืองสดที่ได้มาจากรากของพืช Curcuma longa มีการนำมาใช้แพร่หลายในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินเดีย โดยมีรสขมเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณทางยา โดยขมิ้นมีสารสำคัญทางยา คือ เคอร์คูมิน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ และใช้ในยาแผนโบราณเพื่อรักษาโรคต่างๆ มากมาย รวมทั้งโรคข้ออักเสบและปัญหาระบบย่อยอาหาร

ข้อมูลทั่วไปของขมิ้นชัน

ชื่อภาษาไทย: ขมิ้น
ชื่อภาษาอังกฤษ: Turmeric
ชื่อวิทยาศาสตร์: Curcuma longa L.
ชื่อภาษาถิ่น: ขมิ้นแกง(เชียงใหม่) ขมิ้นชัน(กลาง, ใต้) ขมิ้นหยอก(เชียงใหม่) ขมิ้นหัว(เชียงใหม่) ขี้มิ้น(ตรัง, ใต้) ตายอ(กะเหรี่ยง กำแพงเพชร) สะยอ(กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) และหมิ้น(ตรัง, ใต้)
ส่วนที่ใช้: เหง้า(rhizome)
สารสำคัญทางยา: เคอร์คูมิน(Curcumin)

ขมิ้นชัน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ขมิ้น เป็นพืชล้มลุกที่มีเหง้าเป็นไม้ยืนต้นอยู่ในวงศ์ขิง(Zingiberaceae) มีถิ่นกำเนิดในอินเดียและปลูกกันอย่างแพร่หลายในจีน ศรีลังกา แอฟริกาตะวันตกและตะวันออก และประเทศเขตร้อนอื่นๆ


สรรพคุณทางยา

สรรพคุณขมิ้นชัน

ขมิ้นชันมีสรรพคุณทางยาที่ดีแต่การดูดซึมไม่ค่อยดี โดยส่วนใหญ่แล้วงานวิจัยมักจะใช้ขมิ้นชันผสมกับสมุนไพรอีกชนิด ที่นิยมคือ พริกไทยดำ เพื่อเพิ่มความสามารถในการดูดซึม

โรคข้ออักเสบ

  • ขมิ้นชันช่วยลดอาการปวด บวม อักเสบในโรคข้ออักเสบได้ โดยมีงานวิจัยรองรับ
  • มีงานวิจัยที่พบว่าสามารถลดอาการข้ออักเสบได้ โดยเน้นไปที่การลดอาการปวดและอาการอักเสบ ซึ่งให้ผลใกล้เคียงกับยาลดการอักเสบแผนปัจจุบันเช่น ยา ibuprofen และ diclofenac sodium
  • ดังนั้นสารสกัดขมิ้นชันจึงสามารถนำมาใช้บรรเทาอาการโรคข้ออักเสบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคข้อเสื่อม(osteoarthritis)
  • ปริมาณที่ใช้: สารสกัดจากขมิ้นชัน 1000 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลา 8–12 สัปดาห์

โรคเมตาบอลิกซินโดรม

  • กลุ่มอาการเมตาบอลิกเป็นกลุ่มอาการที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และเบาหวานประเภท 2 อาการเหล่านี้ได้แก่ ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง ไขมันส่วนเกินรอบเอว ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง และระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี(HDL) ต่ำ การมีภาวะเหล่านี้ 3 อย่างขึ้นไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพร้ายแรงอย่างมีนัยสำคัญ
  • ขมิ้นชันช่วยให้สุขภาพหัวใจดีขึ้นโดยการลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีและไตรกลีเซอไรด์ นอกจากนี้งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าเคอร์คูมินช่วยเพิ่มความไวของอินซูลิน และลดความดันโลหิต
  • ปริมาณที่ใช้: ผงขมิ้นชัน 400 มิลลิกรัม ที่ประกอบด้วยสาร curcumin 80 มิลลิกรัม เป็นเวลา 4 สัปดาห์

บรรเทาอาการแน่นจุกเสียด ท้องอืด ท้องเฟ้อ

  • กระตุ้นเอนไซม์ย่อยอาหาร: ขมิ้นช่วยเพิ่มการผลิตเอนไซม์ย่อยอาหาร ซึ่งช่วยย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดการสะสมของก๊าซ
  • เพิ่มการไหลของน้ำดี: ขมิ้นช่วยย่อยไขมันโดยกระตุ้นการผลิตน้ำดี ซึ่งสามารถป้องกันอาการท้องอืดและความรู้สึกไม่สบายตัวได้
  • ฤทธิ์แก้ปวดเกร็ง: ขมิ้นสามารถช่วยคลายกล้ามเนื้อในระบบย่อยอาหาร ลดอาการกระตุกและตะคริวที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายตัว
  • คุณสมบัติต้านการอักเสบ: สารประกอบที่ออกฤทธิ์ในขมิ้น คือ เคอร์คูมิน มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งสามารถลดการอักเสบในระบบย่อยอาหารได้ ช่วยบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ตะคริวและปวด
  • ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ: คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของขมิ้นช่วยปกป้องระบบย่อยอาหารจากความเสียหายและสนับสนุนสุขภาพลำไส้โดยรวม
  • ปริมาณที่ใช้: รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม - 1 กรัม วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน

ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ

  • ความสามารถในการช่วยเรื่องต่างๆ ของขมิ้นชันจะมาจากฤทธิ์ทางยาหลักๆ คือสามารถต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ
  • อนุมูลอิสระและการอักเสบจะมีความเกี่ยวข้องกันตรงที่ เวลาเราบาดเจ็บ ติดเชื้อ หรือมีการอักเสบเกิดขึ้น อนุมูลอิสระจะเพิ่มขึ้นด้วย ส่งผลให้การอักเสบเพิ่มขึ้น ซึ่งกลไกนี้ส่งผลเสียต่อโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคเรื้อรัง เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคหัวใจ เบาหวาน และอื่นๆ

โรคเยื่อบุตาอักเสบและต้อกระจก

  • โรคเยื่อบุตาอักเสบ: สารเคอร์คูมินซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ในขมิ้นชันจะช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการระคายเคืองตา นอกจากนี้ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการต่างๆ เช่น รอยแดง อาการบวม และอาการคันได้
  • ต้อกระจก: คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของขมิ้นชันช่วยปกป้องดวงตาจากอนุมูลอิสระรวมถึงการอักเสบซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดต้อกระจกได้

โรคทางสมองและอารมณ์

  • ในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ช่วยสลายตะกอนที่เป็นอันตรายในสมอง ซึ่งการสะสมของโปรตีนที่ผิดปกติในสมอง ตะกอนโปรตีนเหล่านี้จะไปรบกวนการทำงานปกติของสมองและเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของโรคอัลไซเมอร์
  • เคอร์คูมินยังช่วยปรับปรุงอารมณ์ในภาวะซึมเศร้าอีกด้วย

ข้อควรระวัง

ข้อควรระวังขมิ้นชัน

  • สารสกัดขมิ้น ในการทดลองพบว่ารับประทานได้ถึง 4000–8000 มิลลิกรัม/วัน มีการทดลองที่พบว่ารับประทานสูงถึง 12,000 มิลลิกรัม/วัน (ความเข้มข้น 95%) ก็ยังคงปลอดภัย แต่ก็อาจเกิดผลข้างเคียงอยู่บ้างในบางคน
  • ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้: เช่น อาการคลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดหัว ผื่น และอุจจาระสีเหลือง
  • ปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดี: ขมิ้นชันสามารถเพิ่มการผลิตน้ำดี ซึ่งอาจทำให้ปัญหาถุงน้ำดีแย่ลงได้
  • การตั้งครรภ์: สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเสริมขมิ้นชันเนื่องจากมีความเสี่ยง
  • ภาวะที่ไวต่อฮอร์โมน: ขมิ้นชันอาจออกฤทธิ์เหมือนเอสโตรเจน ดังนั้นจึงควรใช้ด้วยความระมัดระวังหากคุณมีภาวะต่างๆ เช่น มะเร็งเต้านมหรือโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
  • การผ่าตัด: หยุดรับประทานขมิ้นชันอย่างน้อยสองสัปดาห์ก่อนการผ่าตัดตามกำหนด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการมีเลือดออกที่เพิ่มขึ้น
  • สามารถเพิ่ม serum alkaline phosphatase(ALP): ตัวนี้จะเพิ่มขึ้นหากมีปัญหาที่ตับหรือกระดูก
  • สามารถเพิ่ม lactate dehydrogenase(LDH): ซึ่งตัวนี้จะบ่งชี้ว่าเมื่อเซลล์ในร่างกายได้รับความเสียหาย เซลล์เหล่านั้นจะปล่อย LDH เข้าสู่เลือดเพิ่มขึ้น

ห้ามกินคู่กับ

  • ยาละลายลิ่มเลือด: ขมิ้นชันสามารถชะลอการแข็งตัวของเลือด ดังนั้นจึงควรใช้ด้วยความระมัดระวังหากคุณกำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด
  • ควรระวังการใช้ร่วมกับยารักษาโรคมะเร็งบางชนิด: เช่น Doxorubicin, chlormethine, cyclophosphamide และ camptothecin เนื่องจาก curcumin อาจมีผลต้านฤทธิ์ยาดังกล่าว
  • ยารักษาโรคเบาหวาน: ขมิ้นชันสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือด ดังนั้นหากคุณกำลังรับประทานยารักษาโรคเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
  • อาหารเสริมธาตุเหล็ก: ขมิ้นชันอาจขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงหากคุณกำลังรับประทานอาหารเสริมธาตุเหล็ก

วิธีรับประทานยาขมิ้นชัน

ยาขมิ้นชัน กรณีที่บนหน้ากล่องขมิ้นชันระบุว่าเป็นยาขมิ้นชัน แสดงว่าเข้าเงื่อนไขตำรับยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร 2566 สามารถรับประทานตามขนาดและวิธีใช้นี้ได้

  • สูตรตำรับ: ผงเหง้าของขมิ้นชัน (Curcuma longa L.) ที่มีสารสำคัญ curcuminoids ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 โดยน้ำหนัก (w/w) และน้ำมันระเหยง่ายไม่น้อยกว่าร้อยละ 6 โดยปริมาตรต่อน้ำหนัก
  • สรรพคุณ: บรรเทาอาการแน่นจุกเสียด ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • ขนาดและวิธีใช้: รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม - 1 กรัม วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน

เมนูขมิ้นชัน

แนะนำให้ใส่พริกไทยดำลงไปเล็กน้อยด้วยเพื่อทำให้ร่างกายดูดซึมขมิ้นชันได้ดียิ่งขึ้น

  • นมขมิ้น: ผสมขมิ้นกับนมอุ่น (หรือนมจากพืช) พริกไทยดำเล็กน้อย และน้ำผึ้งเล็กน้อย ดื่มเป็นเครื่องดื่มช่วยให้ผ่อนคลาย
  • สมูทตี้: เติมผงขมิ้นหนึ่งช้อนชาลงในสมูทตี้ตอนเช้าเพื่อเพิ่มสารอาหาร
  • แกงและซุป: ใช้ขมิ้นเป็นเครื่องเทศหลักในแกง ซุป และสตูว์ เข้ากันได้ดีกับเครื่องเทศอื่นๆ เช่น ยี่หร่า ผักชี และขิง
  • ผักย่าง: โรยขมิ้นบนผักของคุณก่อนย่าง ขมิ้นจะเพิ่มสีสันที่สดใสและรสชาติเฉพาะตัวของขมิ้น
  • ข้าวและธัญพืช: ใส่ขมิ้นลงในข้าวหรือควินัวขณะปรุงอาหาร ขมิ้นไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มสีสัน แต่ยังเพิ่มรสชาติหอมเฉพาะตัวอีกด้วย
  • น้ำสลัด: ใส่ขมิ้นเล็กน้อยลงในน้ำสลัดโฮมเมดเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ
  • เมนูไข่: ผสมขมิ้นลงในไข่คน ไข่เจียว
  • ชา: ชงชาขมิ้นโดยใช้ขมิ้นสดหรือผง ขิง และน้ำผึ้งหรือมะนาวเล็กน้อย

Reference

  1. Hewlings SJ, Kalman DS. Curcumin: A Review of Its Effects on Human Health. Foods. 2017 Oct 22;6(10):92. doi: 10.3390/foods6100092. PMID: 29065496; PMCID: PMC5664031.
  2. Iweala, Emeka J., Miracle E. Uche, Emmanuel Dike Dike, Lotanna Richard Etumnu, Titilope M. Dokunmu, Adurosakin E. Oluwapelumi, Benedict Chukwuebuka Okoro, Omoremime E. Dania, Abiodun H. Adebayo, and Eziuche Amadike Ugbogu. 2023. “Curcuma longa (Turmeric): Ethnomedicinal uses, phytochemistry, pharmacological activities and toxicity profiles - A review.” Pharmacological Research - Modern Chinese Medicine, 6.
  3. Who Should Not Use Turmeric? Interactions & Side Effects Available at: https://www.medicinenet.com/healthy_eating_turmeric_benefits/article.htm (Accessed: 03 November 2024).
  4. Wikipedia contributors (2023) ขมิ้นชัน, Wikipedia, The Free Encyclopedia. Available at: https://th.wikipedia.org/wiki/ขมิ้น (Accessed: 04 November 2024).
  5. บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร พ.ศ. 2566. กองผลิตภัณฑ์สมุนไพร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา, 2023.